ทำความรู้จักทีมร่วมสายกลุ่ม A กับทีมชาติไทย ในฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย U23
มาทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมกลุ่มของทัพช้างศึก ของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ได้ที่นี่
ในวันพุธที่จะถึงนี้ การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ณ ประเทศไทย ก็จะได้ฤกษ์เปิดสนามแล้ว ซึ่งการแข่งขันในรอบแรก (รอบแบ่งกลุ่ม) จะคัดเลือกเพียงแค่ 2 ทีม เข้าไปเล่นในรอบต่อไป โดยความสำคัญในการการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ คือเป็นการหาทีม 3 อันดับแรก เพื่อผ่านเข้าไปเล่นในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งทัพช้างศึกในฐานะเจ้าภาพ จะต้องรับมือกับเพื่อนร่วมกลุ่ม A อย่าง ทีมชาติบาห์เรน, ทีมชาติอิรัก และทีมชาติออสเตรเลีย โดยในเกมนัดแรก ทัพช้างศึก จะลงเล่นกับทีมชาติบาห์เรน ส่วนทีมชาติอิรัก จะพบกับทีมชาติออสเตรเลีย
และก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นในวันพุธนี้ ก็จะขอนำทุกท่าน มาทำความรู้จักกับแต่ละทีมในกลุ่ม A กัน
ทีมชาติไทย
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : เจ้าภาพ
ผลงานในการแข่งขันรายการนี้เมื่อปี 2018 : รอบแบ่งกลุ่ม
ผลงานที่ดีที่สุดในรายการนี้ นับตั้งแต่เปลี่ยนระบบการแข่งขันในปี 2013 : รอบแบ่งกลุ่ม (2016, 2018)
ผลงานในรอบคัดเลือก ของทีมชาติไทย U23 จบด้วยการเป็นอันดับ 2 จากการชนะ 2 นัด และแพ้ 1 นัด ให้กับทีมชาติเจ้าภาพในรอบคัดเลือกอย่าง ทีมชาติเวียดนาม ซึ่งมีดีกรีเป็นรองแชมป์ในการแข่งขันครั้งที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทัพช้างศึก ก็ยังผ่านเข้ามาแข่งในรอบสุดท้ายของการแข่งขันครั้งนี้ได้ ในฐานะเจ้าภาพ
สำหรับนักเตะที่น่าจับตามองของทีมชาติไทยชุดนี้ ก็เป็น ศุภชัย ใจเด็ด ซึ่งทำไป 5 ประตู ในรอบคัดเลือก และในการแข่งขันรอบสุดท้าย กองหน้าวัย 21 ปี จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็จะได้ลงเล่นภายใต้การดูแลของ อากิระ นิชิโนะ กุนซือขรัวเฒ่าชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป้าหมายของทัพช้างศึกในครั้งนี้ ก็คือการผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอาท์ให้ได้เป็นครั้งแรก
ส่วนฟอร์มการเล่นในการแข่งขันครั้งที่ผ่านมา ทีมชาติไทยพ่ายให้กับ ทีมชาติญี่ปุ่น, ทีมชาติเกาหลีเหนือ และทีมชาติปาเลสไตน์ ทว่าในการแข่งขันครั้งนี้ ทัพช้างศึกภายใต้การดูแลของนิชิโนะ จะทำให้พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง และจะลงเล่นด้วยความกระหายชัยชนะที่มากกว่าเดิม โดยเฉพาะในยามที่ต้องเล่นต่อหน้าแฟนบอลของพวกเขาเอง
ทีมชาติอิรัก
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์รอบคัดเลือก กลุ่ม C
ผลงานในการแข่งขันรายการนี้เมื่อปี 2018 : รอบก่อนรองชนะเลิศ
ผลงานที่ดีที่สุดในรายการนี้ นับตั้งแต่เปลี่ยนระบบการแข่งขันในปี 2013 : แชมป์ (2013)
ทีมชาติอิรัก ยังสามารถผ่านเข้ามาแข่งขันรอบสุดท้ายของรายการนี้ได้ทุกครั้ง หลังจากพวกเขาคว้าแชมป์รอบคัดเลือก กลุ่ม C จากการมีลูกได้เสียดีกว่าทีมชาติอิหร่าน
ภายใต้การคุมทีมของกุนซือมากประสบการณ์อย่าง อับดุลกานี ชาฮาด ก็ทำให้ทัพสิงโตแห่งเมโสโปเตเมีย ประสบความสำเร็จมากทีเดียวในการแข่งขันรายการนี้ จากการคว้าอันดับ 3 ในปี 2016 และยังเคยไปถึงแชมป์มาแล้ว เมื่อปี 2013 จากการคว้าชัยเหนือทีมชาติซาอุดีอาระเบีย 1-0 ด้วยประตูของ โมฮานนาด อับดุล-ราฮีม ซึ่งนั่นถือเป็นการแข่งขันครั้งแรกของรายการนี้ด้วย
แต่จากการแข่งขันครั้งที่ผ่านมาที่จีน พวกเขาพลาดท่าตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไป อย่างไรก็ตาม ทีมจากตะวันออกกลางทีมนี้มาพร้อมกับคาดหวังที่มากมาย ว่าจะทำผลงานได้ดีในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้า มูรัด ซูเบห์ หัวหอกตัวความหวัง ผู้ทำไป 3 ประตูในรอบคัดเลือก สามารถทำผลงานได้ดี
ทีมชาติออสเตรเลีย
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : 1 ใน 4 ทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุดของรอบคัดเลือก (อันดับ 2 รอบคัดเลือกกลุ่ม H)
ผลงานในการแข่งขันรายการนี้เมื่อปี 2018 : รอบแบ่งกลุ่ม
ผลงานที่ดีที่สุดในรายการนี้ นับตั้งแต่เปลี่ยนระบบการแข่งขันในปี 2013 : รอบก่อนรองชนะเลิศ (2013)
ทีมชาติออสเตรเลีย เป็นอีกหนึ่งทีมที่สามารถผ่านมาเล่นในรอบสุดท้าย ของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ได้ทั้ง 4 ครั้ง โดยคราวนี้ พวกเขาผ่านเข้ารอบมาในฐานะ 1 ใน 4 ทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุดของรอบคัดเลือก จากการที่พวกเขาเป็นอันดับ 2 ในรอบคัดเลือก กลุ่ม H
ทัพ ดิ โอลี่รูส์ ชุดนี้ นำทัพโดย เกรแฮม อาร์โนลด์ ซึ่งเป็นกุนซือให้กับทีมชาติชุดใหญ่ด้วย และพวกเขาก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมากๆ ในรอบคัดเลือกที่กัมพูชา จากการทำไป 14 ประตู และเสียไปเพียง 2 ประตู ในรอบดังกล่าว และที่พวกเขาจบอันดับ 2 ในรอบนี้ ก็เพราะแชมป์กลุ่มเป็นทีมชาติเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นมหาอำนาจในวงการลูกหนังของฝั่งเอเชีย มีประตูได้เสียที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม นับจากการผ่านเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศเมื่อปี 2013 การแข่งขัน 2 ครั้งล่าสุดในรายการนี้ของทีมชาติออสเตรเลียนั้นไม่ดีเอาเสียเลย เมื่อพวกเขาต้องตกรอบแบ่งกลุ่มทั้ง 2 ครั้ง แต่ครั้งนี้ ทัพ ดิ โอลี่รูส์ ก็หวังว่าโชคชะตาจะเข้าข้างบ้าง และความหวังของพวกเขาก็ดูจะเป็นไปได้ทีเดียว หากกัปตันทีมอย่าง โธมัส เดง ปราการหลังกัปตันทีม และ อัล ฮัสซัน ตูเร่ กองหน้าเชื้อสายกินี-ไลบีเรีย สามารถระเบิดฟอร์มออกมาในการแข่งขันที่แดนสยามได้
ทีมชาติบาห์เรน
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์รอบคัดเลือก กลุ่ม B
ผลงานในการแข่งขันรายการนี้เมื่อปี 2018 : ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
ผลงานที่ดีที่สุดในรายการนี้ นับตั้งแต่เปลี่ยนระบบการแข่งขันในปี 2013 : ไม่เคยผ่านเข้ารอบสุดท้าย
สำหรับทีมชาติบาห์เรน นี่ถือเป็นครั้งแรกของพวกเขา ที่สามารถผ่านมาเล่นรอบสุดท้ายของการแข่งขันรายการนี้ได้ ซึ่งความดีความชอบนี้ ต้องยกให้กับ ซามีร์ ชามมัม กุนซือชาวตูนีเซีย ที่พาพวกเขาเก็บชัยชนะ 3 เกมรวดในรอบคัดเลือก กลุ่ม B
แน่นอนว่าการแข่งขันที่ประเทศไทย ทีมชาติบาห์เรนคงไม่ได้หวังแค่มาร่วมแข่งขันเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการมีดาวรุ่งที่น่าจับตาอย่าง โมฮาเหม็ด อัล ฮาร์ดาน แนวรุกสารพัดประโยชน์ หรือจะเป็น อาเหม็ด บูกัมมาร์ กองหลังคนเก่งของทีม ซึ่งทั้งสองคนผ่านการลงเล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่ และมีส่วนในความสำเร็จกับการคว้าแชมป์ กัลฟ์ คัพ และการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียตะวันตก เมื่อปีที่แล้วด้วย
ที่มา : FA Thailand
แฟนช้างศึกสามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ ไทยทิตเก็ตเมเจอร์