เพราะการร้องเพลงคือสิ่งที่รัก! 'สไมล์ ภาลฎา' สาวน้อยเสียงใสกับมุมมองชีวิตที่โตขึ้น
หลายคนคงรู้จักเธอดีในชื่อของ สไมล์ The Star ที่เป็นนามสกุลพ่วงติดตัวมาหลังจากจบรายการ แต่ครั้งนี้เธอกลับมาพร้อมบทบาทใหม่ในฐานะศิลปินหญิงคนแรกของค่ายเจมีดี “สไมล์ ภาลฎา”
“สไมล์เชื่อว่าคนแต่ละคนมีเวลาพิสูจน์ตัวเองไม่เท่ากัน บางคนพิสูจน์ตัวเอง 1-2 ปี คนยินดีต้อนรับ คนอ้าแขนรับ แล้วบอกรักเรา แต่บางคนต้องพิสูจน์เวลาถึง 7-8 ปี สไมล์เชื่อว่าวันนึงเขาก็จะรักเราได้ เพราะเราไม่เคยเกลียดคนเหล่านั้น”
เป็นประโยคที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสาวน้อยวัย 23 ปีคนนี้เธอเติบโตขึ้นมากแค่ไหน สำหรับการใช้ชีวิตในวงการบันเทิงมาตลอด 8 ปี ทั้งทัศนคติ ความคิด และมุมมองการใช้ชีวิต สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้เห็นว่า สไมล์ เด็กน้อยบนเวทีประกวดร้องเพลงในวันนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เธอโตขึ้นและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย แต่สิ่งนึงที่ไม่เคยเปลี่ยนและเป็นสิ่งที่เธอรักมาตลอดก็คือ “การร้องเพลง”
เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์เธอหลังจากปล่อยเพลงใหม่มาไม่ถึง 1 ชั่วโมงด้วยซ้ำ ตลอดการที่พูดคุยกัน สไมล์ยิ้มและหัวเราะเหมือนอย่างชื่อของเธอ รอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งที่บอกกับเราว่าเธอมีความสุขมากแค่ไหนในการที่ได้กลับมามีซิงเกิลใหม่ของตัวเองอีกครั้ง เราจะมาทำความรู้จักกับ สไมล์ ภาลฎา จากเด็กน้อยสู่สาวน้อยที่โตขึ้น ผ่านบทสนทนานี้กัน
TTM VARIETY: สไมล์เริ่มชอบร้องเพลงมาตั้งแต่ตอนไหน
Smile: เริ่มชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กค่ะ จำความได้ก็ร้องเพลงเลย แล้วก็จะชอบร้องเพลงอยู่หลังรถป่าป๊า จะนั่งข้างหลังใช่ไหมคะ ป่าป๊าก็จะเปิดเพลงแล้วก็ชอบร้องคลอตาม เราก็เหมือนกับจินตนาการว่าเราจะได้อยู่บนเวทีตั้งแต่เด็ก เหมือนเป็นความฝันตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ คือฟังเพลงทุกวัน ป๊าเปิดเพลงทุกวันก็นั่งร้องตาม ก็จินตนาการตั้งแต่เด็กๆเลย ก็เลยรู้ว่าเราชอบร้องเพลงค่ะ
TTM VARIETY: ที่บ้านสนับสนุนไหมคะ
Smile: จริงๆ ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่นะคะ (หัวเราะ) พูดตรงๆเลย คือที่บ้านด้วยความที่เขาก็ผู้ใหญ่แต่ที่บ้านสไมล์ก็จะเป็นอีกแนวนึงว่า ร้องเพลงกลัวมันทำให้เสียการเรียนตอนนั้นนะคะ แต่ว่าเราก็พิสูจน์ให้เห็นว่าจริงๆก็ไม่ได้เสียการเรียนขนาดนั้น เขาก็เลยเริ่มแบบปล่อย ๆ ก็เริ่มทำกิจกรรม เริ่มเข้าร้องเพลงประมาณม.4-ม.5 ที่บ้านก็เริ่มให้ไปร้องเพลงค่ะ
TTM VARIETY: แล้วตอนที่มา The Star พ่อก็เริ่มปล่อยแล้วใช่ไหมคะ
Smile: จริง ๆ พ่อเริ่มปล่อยหลังจากมา The Star เนี่ยแหละค่ะ คือเขากลัวการซ้อมดึก การต้องไปออกนอกบ้านบ่อย ๆ แค่กังวลเรื่องนั้นค่ะ The Star เป็นเวทีแรกค่ะ แล้วก็ไม่เคยเรียนร้องเพลง ไม่เคยเรียนอะไรที่เกี่ยวกับร้องเพลงเลยค่ะ แล้วก็มา The Star ครั้งแรกด้วยความที่เพื่อนเราเนี่ยแหละชวน ไปกัน 5 คน เพื่อนเหมือนกับแบบ ไปกันไหม เราก็ เออ ไปก็ได้ แต่จริง ๆ ก็คืออยากไปอยู่แล้วด้วยค่ะ ก็เลยโอเคไป ณ ตอนนั้น
TTM VARIETY: ตั้งแต่ The Star ก็มีมาหลายบทบาท มีร้องเพลง แสดงละคร พูดถึงการแสดงละครบ้าง ในแต่ละบทบาทที่เราได้รับมีความเป็นตัวตนของเราอยู่ไหม
Smile: สำหรับมุมมองสไมล์นะคะ ก็คือสไมล์ถูกสอนมาว่าให้เอาตัวเราไปใส่ตัวละคร หรือว่าเอาตัวเราเดินเข้าไปหาตัวละคร ซึ่งถามว่าบทบาทไหนมันเป็นตัวเองสุด ๆ อาจจะไม่มี เพราะว่าทุกอันถึงแม้ว่าจะใกล้เคียงกับเรามากแต่เราก็ต้องทำการบ้านในส่วนของตัวละครเยอะ มันอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่ว่าถ้าใกล้เคียงที่สุดคงเป็น Daddy จำเป็น ที่เล่นกับพี่โน๊ต อุดมค่ะ อันนั้นน่าจะใกล้เคียงที่สุดเพราะว่าในเรื่องมันเหมือนกับว่าเดินตามความฝัน ไปมีการประกวดร้องเพลง ก็น่าจะใกล้เคียงในเรื่องของสตอรี่ชีวิตแล้วก็นิสัยของตัวละคร
TTM VARIETY: แล้วระหว่างการแสดงกับการเป็นนักร้อง ชอบอะไรมากกว่ากัน
Smile: มันพูดไม่ได้ว่าชอบอะไรมากกว่า มันยากมากเลยค่ะ (หัวเราะ) จริง ๆ การที่เราได้มารู้จักการแสดงคือการที่ว่าเราเดินทางมาด้วยการเป็นนักร้องค่ะ คือตอนนั้นสไมล์ประกวดรายการ The Star เพื่อจะเข้ามาเป็นนักร้องแล้วก็ร้องเพลงใช่ไหมคะ แต่ในระหว่างนั้นบทบาทตรงนี้ก็พาเราไปเจอกับบทบาทของนักแสดง มันก็เลยทำให้เราเหมือนตกหลุมรักในการแสดงโดยที่เราไม่รู้ตัว เราก็ไปทุ่มเทให้สิ่ง ๆ นั้น โดยที่ไม่รู้ตัวค่ะ แล้วก็กลายเป็นรักมาก ๆ เข้าถึง ไปเรียน แต่ถ้าถามว่ารักมาก ๆ ทุกครั้งที่แสดงหรือว่ากลับบ้านก็ต้องเล่นกีตาร์ก่อนนอน หนูว่ามันเป็นสิ่งที่ตอบไม่ได้เลยค่ะว่าชอบอะไรมากกว่ากัน เพราะจริงๆมัน blend in เข้ากันได้ค่ะ เหมือนเราร้องเพลงเราก็สื่อสาร เราเล่นละครเราก็สื่อสาร ก็เป็นอาร์ตที่ใกล้เคียงกัน ก็ชอบเหมือนกันค่ะ ทั้งการแสดงและร้องเพลง
TTM VARIETY: หลังจาก The Star จะมีช่วงที่สไมล์หายไปด้วย แต่ก็กลับมาในบทบาทของการเป็นยูทูปเบอร์ จุดเริ่มต้นในการทำตอนนั้นคืออะไรคะ
Smile: ถ้าทุกคนติดตามสไมล์จริง ๆ นะคะ สไมล์จะเริ่มมาทุกแพล็ตฟอร์มที่เป็นโซเชียลแล้ว คือตอนที่สไมล์ออกมาจากบ้าน The Star สไมล์รู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงไม่ค่อยเก่ง ไม่เพราะเลยแหละ แล้วเหมือนกับมีคอมเมนท์มากมายว่าเสียงไม่ค่อยดี 80 % ก็บอกว่าเสียงไม่โอเค เราก็เลยทำ Cover มาตลอด ในแพล็ตฟอร์มแรกทำลงโซเชียลแคม จริงๆทำมาตลอด 7 ปีค่ะ ทำมาตั้งแต่ยุคนั้นจนเปลี่ยนผ่านมาเป็นยูทูป แล้วเราก็เลยอัดเพลงของเรา ทำ Cover ของเราลงไปในยูทูปด้วย แล้วก็มีลูกค้าที่เขาเข้ามาหาเรา อยากให้เราลองทำสกินแคร์ อยากให้เราลองรีวิวเมคอัพ มันก็เลยกลายเป็นว่าในยูทูปตอนนี้ก็เลยเหมือนกับมีทั้งในเรื่องของบิวตี้บล็อคเกอร์แล้วก็มีในเรื่องของมิวสิคเข้ามาด้วยค่ะ ก็ทำมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังคงมีอีกบทบาทนึงที่เรียกได้ว่าเป็นยูทูปเบอร์ก็ได้ค่ะ
แล้วสไมล์มองว่ามันเป็นที่ที่นึงที่เราจะสามารถผลิตผลงานได้เร็วที่สุดค่ะ คือเหมือนกับในละครในทีวีเราก็จะต้องมีกระบวนการที่ใช้เวลานานกว่า แต่ถ้าเป็นยูทูปเหมือนสมมติผลงานเราไม่ได้ออนแอร์เลยในทีวีแต่ในยูทูปจะเป็นอีกที่นึงที่เขาสามารถดูเราได้ทุกวัน สไมล์ก็เลยมองว่ามันก็เป็นเหมือนในไอจีค่ะ แต่แค่มันเป็นในรูปแบบของวิดีโอที่ยาวได้มากกว่า 1 นาที เราก็มองว่าอยากให้คนได้รู้จักแล้วผูกพันธ์กับเราในอีกช่องทางนึงด้วย
TTM VARIETY: พอเริ่มมาทำ Youtube มันก็จะมีทั้งคอมเมนท์ที่ดีและไม่ดี สไมล์มีวิธีการรับมือยังไงบ้าง
Smile: สไมล์เป็นคนที่เจอคอมเมนท์ไม่ดีมาเยอะมากตั้งแต่ The Star แต่สิ่งนึงที่เราได้เรียนรู้นะคะ สไมล์เชื่อว่าคนแต่ละคนมีเวลาพิสูจน์ตัวเองไม่เท่ากัน บางคนพิสูจน์ตัวเอง 1-2 ปี คนยินดีต้อนรับ คนอ้าแขนรับ แล้วบอกรักเรา แต่บางคนต้องพิสูจน์เวลาถึง 7-8 ปี สไมล์เชื่อว่าวันนึงเขาก็จะรักเราได้ เพราะเราไม่เคยเกลียดคนเหล่านั้น เราเชื่อว่ามันก็มีจุดบกพร่องของเรา มันมีบางจุดที่มันไม่สามารถอธิบายได้หรือว่าทำให้เขาเข้าใจได้ ด้วยมุมมองคนเรามันหลากหลายค่ะ ถามว่าสมัยก่อนตอนเด็กๆเครียดไหม จริง ๆ คือแทบจะร้องไห้ทั้งวัน โลกแบบพังทลายแต่พอโตขึ้นมาเราเรียนรู้ เราเริ่มเห็นคอมเมนท์ว่าเมื่อก่อนเกลียด เมื่อก่อนไม่ชอบ ตอนนี้รู้สึกว่าเราจริงใจ เราให้อะไรเขา เรารู้สึกว่าเรารู้สึกดีนะที่ทำให้คนที่ไม่รักเราเลย ได้รักเราสัก 1-2 % เราก็มองเป็นอย่างงั้นค่ะ เริ่มไม่ได้เก็บข้อความเหล่านั้นมาคิดแต่เราก็มองว่าข้อความเหล่านั้นเป็นเหมือนอีกกลุ่มคนนึง ที่เขาก็คอมเมนท์เราเหมือนกันอย่างน้อยเขาก็เพิ่มยอดวิวให้หนู (หัวเราะ) นั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องขอบคุณค่ะ
TTM VARIETY: สไมล์กับวงการบันเทิงกี่ปีนะคะ จนมาถึงตอนนี้
Smile: ก็ตั้งแต่อายุ 15 จนถึงตอนนี้ 23 ก็ 8 ปีค่ะ
TTM VARIETY: คิดว่าเราประสบความสำเร็จกับสิ่งที่เราคิดไว้หรือยัง ตั้งแต่ The Star เลยจนมาถึงตอนนี้
Smile: มันไม่มีจุดที่ตั้งเอาไว้ว่าจะต้องประสบความสำเร็จยังไงนะคะ จริง ๆ สไมล์โฟกัสว่าความสำเร็จของสไมล์คือช่วงเวลาความสุขที่เราได้ทำสิ่งที่เรารักมากกว่า สมมติว่ามีช่วงเวลานึงที่เราไม่ได้ทำงานอะไรที่เรารักเลย อันนั้นเรารู้สึกว่ายังไม่ประสบความสำเร็จสำหรับเรา แต่ถ้ามีช่วงเวลาไหนอย่างเช่นเวลานี้ที่สไมล์ได้ปล่อยเพลง ที่สไมล์รอคอยมานานมากกับการที่จะมีซิงเกิ้ลที่ 3 เรารู้สึกว่าช่วงเวลานี้แหละคือประสบความสำเร็จสำหรับเราแล้ว มีความสุขแล้ว แต่ถ้าถามถึงเป้าหมายในชีวิตว่าเราอยากประสบความสำเร็จถึงขั้นไหน มันจะต่างหรือไม่ต่างก็ไม่รู้นะคะแต่เรามองว่าความสำเร็จสูงสุดของสไมล์คือได้มีความสุขกับโมเมนต์ที่เราแลกเปลี่ยนกับคนดู ไม่ว่าจะเวลาที่ละครเราออนแอร์ออกไปหรือเวลาที่เรายืนอยู่บนเวที ถ้าทุกคนมีความสุขทั้งหมดนั่นก็คือสำเร็จค่ะ
TTM VARIETY: ก็คือไม่ได้คาดหวังว่าปล่อยเพลงไปจะต้องดังเปรี้ยงปร้างอะไรแบบนั้น แค่ได้เห็นคนมีความสุขก็พอแล้วใช่ไหมคะ
Smile: ถามว่าความคาดหวังมีไหม มีค่ะ แต่เป็นความหวังมากกว่า อาจจะไม่คาดหวังแต่คงเป็นแค่ความหวังว่าเราอยากให้มีผลตอบรับที่ดี นั่นเป็นสิ่งที่สไมล์เชื่อว่าคนทำงานทุกคนหรือว่าคนที่ผลิตงานออกมา ทุกคนคาดหวังว่าอยากจะได้รับผลตอบรับที่ดีค่ะ ก็ถ้ามันไม่ได้ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่ ก็รู้สึกว่าอย่างน้อยมันก็ดีขึ้นกว่าเดิม
TTM VARIETY: มาเรื่องค่ายกันบ้าง เข้ามาอยู่ค่ายเจมีดีได้ยังไง
Smile: จริง ๆ คือร้องเพลงเนี่ยแหละค่ะ แต่ย้อนกลับไปนิดนึงว่าเจอน้องเจ้านายค่ะ ในงานโฆษณาหนังสั้น หลังจากนั้นก็ฟอลโล่อินสตาแกรมกันแล้วน้องเขาก็ได้เห็นมั้งว่าเราเล่นละครก็กลับมาดีดกีตาร์ ดึกขนาดไหนก็กลับมาดีดกีตาร์ทั้งวัน น้องก็คงเห็นว่า เอ๊ะ พี่สไมล์ทำไมกลับบ้านมาดีดกีตาร์ทุกวัน นี่ก็เป็นคำพูดที่พี่เจเขาพูดค่ะว่า คนไม่อยากคัมแบ็คเหรอจะนั่งเล่นดนตรีทั้งวัน จะกลับมาแล้วเล่นกีตาร์ตลอดเวลา พี่เจเขาก็เลยเริ่มตามดู Cover มาค่ะ แล้วเขาก็ให้น้องทักมาว่า เขาอยากทำเพลงแล้วก็เขาเห็นอะไรในตัวเรา ทั้งพี่เจ ทั้งพี่ปิ่นเลย เขาเรียกว่าประจวบเหมาะมั้งคะ สไมล์เจอน้องเจ้านายแค่ไม่กี่เดือนแล้วก็มาเจอพี่ปิ่นในกองละครอีก หลังจากนั้นก็เหมือนไปเล่น MV นึงที่ดันมีผู้กำกับคนเดียวกันกับน้องเจ้านายอีก มันเลยเหมือนทุกอย่างถูกทำให้มาเจอกัน ทำให้มารู้จักกันแล้วก็ได้ทำงานร่วมกันค่ะ
TTM VARIETY: พอเข้ามาอยู่ในค่ายแล้วพี่เจในฐานะที่เป็นเจ้าของค่ายและก็เป็นศิลปินที่อยู่มานานแล้ว ได้ให้คำแนะนำอะไรกับสไมล์บ้าง
Smile: พี่เจเป็นคนบอกว่าถ้าเราอยากจะลุยอะไรก็ลุยให้สุด มีความรับผิดชอบ ก็ทำให้มันเต็มที่ค่ะ อันนี้สไมล์มองว่าเป็นอย่างนึงที่สไมล์มองเห็นในตัวเขานะคะ เพราะว่าเมื่อเขาเริ่มที่จะทำโปรเจ็คอะไร เขาทุ่มสุดตัวแล้วก็ลุยสุดตัว หนูว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าพอคนที่เอาจริงเอาจังในเรื่องของการงาน เขาก็จะได้รับผลตอบรับที่ดี ไม่ว่าจะเป็นรายการที่เขาทำหรือว่าคอนเสิร์ต เพลง ก็ทำให้เห็นว่าเพียงแค่ว่าเราต้องลุยกับสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราอยากทำอย่างเต็มที่จริง ๆ
TTM VARIETY: และล่าสุดกับการที่ได้ไปเป็นเกสต์ในคอนเสิร์ตพี่เจ รู้สึกยังไงบ้าง
Smile: เอาจริง ๆ คือสไมล์แบบงงมาก ว่าสไมล์จะได้ไปอยู่ส่วนไหน คือตอนนั้นเรารู้สึกว่าเกสต์เยอะมาก แล้วทุกคนจะไม่งงเหรอว่า เอ๊ะ สไมล์คือใคร สไมล์มาขึ้นคอนเสิร์ตทำไม แต่พี่เจก็บอกว่าก็ไปในฐานะที่ว่าเราคือศิลปินคนต่อไปของค่ายเจมีดี ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเริ่มมีเหตุผลที่เราจะไปแหละแต่ว่าก็คือตอบรับไปแล้วนะคะ แล้วก็เพลงที่เราได้โชว์ในวันนั้นก็เป็นเพลงของพี่ปาล์มมี่ ซึ่งตื่นเต้นมากเพราะว่ามันคือการที่สไมล์จะได้ขึ้นอิมแพ็คฯ อีกครั้ง ตอนนั้นสไมล์อยู่ The Star สไมล์ได้ขึ้นประมาณ 3 ครั้ง เคยขึ้นไปร้องซิงเกิ้ลของตัวเองโชว์เดี่ยว แต่ว่าอันนี้เราวิ่งรอบเวทีค่ะ แล้วก็แบบบิวท์คนดูนู่นนี่นั่น เรารู้สึกว่ามันเป็นเพลงเดี่ยวที่เราทุ่มเทมาก เพราะสไมล์ตื่นเต้นมากแล้วกลัวลืมเนื้อ คือซ้อมเอาเป็นเอาตาย แต่วันนั้นแบบไม่ลืมเนื้อค่ะ แล้วทุกคนก็เอ็นจอย
TTM VARIETY: รู้สึกว่าเวทีคือที่ของเราไหม
Smile: รู้สึกค่ะ ก่อนที่ขึ้นคอนเสิร์ตพี่เจบอกว่า รอวันนี้มานานแค่ไหนแล้ว นี่ได้ขึ้นอิมแพ็คแล้วนะ ทำให้เต็มที่ แล้วก็แบบสนุก เอ็นจอย เขาให้กำลังใจ คอยเชียร์อัพเรา เราก็รู้สึกว่า เออ ต้องสนุกสิ เต็มที่ เราคิดว่าที่นี่คือเป็นที่ของเราแล้วทุกคนเรารู้จักหมด เรารู้จักทุกคนเลยที่อยู่ตรงนี้ เราก็เต้นสนุกของเราแล้วก็คิดในใจว่าสิ่งที่มันน่าเสียใจที่สุดคือเราขึ้นไปบนเวทีแล้วเราไม่สนุก เพราะที่ผ่านมาสไมล์ขึ้นไปบนเวทีไม่เคยสนุกเลย คือเราจะรู้สึกประหม่าแล้วจะกลัวตลอด ก็เลยมีตะโกนไปว่าได้มาอิมแพ็คแล้ว (หัวเราะ) คือเรารู้สึกว่าอย่างน้อยเราจริงใจกับตัวเองว่าเราสนุกแล้วเราก็ไม่เครียด เราเอ็นจอยกับคนดูจริง ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าภาพบนเวทีมันออกมาดีไหมนะคะ
TTM VARIETY: จากสไมล์ The Star มาเป็นสไมล์ภาลฎา ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปแบบไหนบ้าง
Smile: สไมล์มองว่าตอนที่สไมล์เข้า The Star จะมีความกล้าน้อยไปนิดค่ะ สไมล์เอาตัวเองเข้าประกวดก็จริงแต่ว่าหลังจากนั้นสไมล์ไม่เคยรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่ง จริง ๆ The Star ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของเขาอยู่แล้ว แต่เรารู้สึกว่าเราไม่น่าจะสำคัญพอ หรือเราไม่น่าจะเก่งพอที่จะยืนอยู่ตรงนี้ ทำให้ทุกย่างก้าวที่เราก้าว ทุกงานที่เราทำ ไม่มั่นใจในการทำงาน โดยเฉพาะในแง่มุมของการเป็นศิลปิน สไมล์มองว่ายังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร Attitude สไมล์ยังไม่ให้เท่าที่ควร พอหลังจากที่สไมล์เดินทางมางานเกี่ยวกับการร้องเพลงก็หายไป ตอนนั้นเราโฟกัสแค่ว่า เราเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเราเป็นพี่ ๆ The Star เก่ง ๆ เราก็คิดแล้วว่าทำไมทุกคนเก่งจัง พอสักพักนึงเราบอกว่าเราไม่ใช่ดีว่า เราไม่ใช่สไมล์พลังเสียงเยอะ เราคือสไมล์คนนึงที่จะสื่อสารเพลงให้ดีที่สุดแค่นั้น พอเปลี่ยน Attitude ตรงนั้นปุ๊บ เรารู้สึกว่าเพลงที่เราร้อง เราอยากให้เขาลิงค์ถึงชีวิตส่วนตัวของเขาได้ เราเลยมองแค่นั้นค่ะว่า เราจะไม่มานั่งร้องเพลงให้เพราะ เราจะมานั่งสื่อสารกับคนค่ะ พอคิดแค่นั้นทัศนคติ Attitude มันเปลี่ยน มันเลยทำให้ทุกครั้งที่อยู่บนเวทีมันไมได้โฟกัสมาที่ตัวเอง มันกลับไปโฟกัสที่คนดู ก็เลยเหมือนกับได้แก้ตรงนี้ค่ะ การอยู่บนเวทีหลังๆก็เลยสนุกแล้วก็เอ็นจอยมากขึ้น ก็ดีขึ้นค่ะ
TTM VARIETY: ซิงเกิ้ลล่าสุดที่เพิ่งปล่อยมา ออกซิเจน (Oxygen) เป็นเพลงเกี่ยวกับอะไรคะ
Smile: ออกซิเจนทั้งในเพลงและ MV นะคะ เขาสื่อสารว่าคนเราบางครั้งออกซิเจนคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและมันก็เหมือนเป็นการเปรียบเปรยนิยามนั้นมาสู่คำว่าคนรัก ออกซิเจนก็เหมือนกับคนที่เรารักค่ะ ที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเรา หล่อเลี้ยงร่างกายของเราให้มันสามารถที่จะสู้ต่อไปได้ในแต่ละวัน แต่ว่าวันนึงเมื่อออกซิเจนมันหายไป มันก็หายใจไม่ออก ก็คงไม่ต่างอะไรกับเวลาที่อยู่ ๆ บอกเลิกแฟน เราอกหัก เราก็แบบหายใจไม่ออก อาจจะเป็นฟีลแบบนั้นค่ะ แต่ก็แล้วแต่คนตีความจริง ๆ ออกซิเจนของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
TTM VARIETY: แล้ว Oxygen สำหรับสไมล์ล่ะคืออะไร
Smile: สำหรับสไมล์มองว่าเป็นสิ่งที่สไมล์ชอบทำในชีวิตค่ะ ถ้าไม่ได้มองในมุมมองของความรักนะ ออกซิเจนของสไมล์คือการที่ได้ไปเที่ยวคนเดียว การที่ได้อ่านหนังสือ ถ้าไม่ได้ทำจะอึดอัดมาก ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวคนเดียว ถ้าไม่ได้ไปผจญภัย ไม่ได้ไปทำอะไรใหม่ ๆ จะอึดอัดเหมือนขาดออกซิเจน
TTM VARIETY: สไมล์เป็นคนชอบเที่ยวคนเดียวเหรอคะ
Smile: ชอบเที่ยวคนเดียวค่ะ ล่าสุดก็ไปญี่ปุ่นมาคนเดียว มันสนุก คือมันเกิดจากการเริ่มใช้ชีวิตคนเดียวก่อน แล้วเรารู้สึกว่าทุกครั้งที่เราเที่ยวคนเดียวมันมีเพื่อนกลับมาเยอะมาก ได้เรียนรู้คนใหม่ ๆ เยอะมาก จริง ๆ เราใจดีมากขึ้น เรากล้าที่จะคุยกับคนมากขึ้นแล้วก็เราเป็นมิตรไปเองโดยปริยายค่ะ อย่างเช่นเราไปเจอเขา เราอยากถามทางเขาหรือเราอยากถามถึงร้านๆนึง เราก็เปิดด้วยความ kind กับเขา แล้วเราก็สัมผัสได้ว่าทุกครั้งเราแฮปปี้ เหมือนเขายิ้ม เรายิ้ม มันก็เหมือนเป็น mood ดีๆใน 1 วันแล้ว การไปเที่ยวคนเดียวมันก็เลยเหมือนทำให้เราจริงใจมากขึ้นอีกกับโลก กับคน กับตัวเอง แล้วก็ทำให้เราแบบไม่มีกำแพงใด ๆ ค่ะ
TTM VARIETY: การเดินทางเป็นแรงบันดาลใจให้สไมล์ในการแต่งเพลงด้วยใช่ไหม
Smile: สไมล์พยายามจะทำ จะแต่งเพลงค่ะ ชอบแต่งเพลงเก็บไว้ เพราะว่าทุกครั้งที่เราออกไปข้างนอก เราไม่รู้จักใครเลย มันหลุดโฟกัสจากตัวเองมันเหมือนเราเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้น เราอยู่กับปัจจุบันไปเองโดยธรรมชาติโดยที่เราไม่ได้ฝืนหรือบังคับค่ะ มันเลยจะทำให้เราได้มองเห็นเยอะขึ้นมากกว่าเดิม ได้เห็นวิธีการเดิน วิธีการคิด อย่างเช่น เรานั่งอยู่ที่นึง เรานั่งอยู่เฉยๆแต่คนเดินตลอด แต่ละคนสายตาของเขามีแววตาที่แตกต่างกันมาก มันก็เป็นสิ่งนึงที่ทำให้เราเห็นว่าแม้กระทั่งคนเราเดินไปในทิศทางเดียวกันแต่สุดท้ายเป้าหมาย mood ตอนเดินทุกอย่างมันแตกต่างกันหมดเลยเนอะ มันช่วยเรื่องการแสดง ช่วยเรื่องงานเขียนของสไมล์แล้วก็ช่วยในเรื่องของทัศนคติที่เอาไปใส่ในเพลงได้
TTM VARIETY: ย้อนกลับมาเรื่องเพลง สไมล์คาดหวังอะไรบ้างกับเพลงออกซิเจน
Smile: จริง ๆ อยากให้ได้ผลตอบรับที่ดีนะคะ คือสำหรับสไมล์เองก็ไม่ได้กดดันตัวเองขนาดนั้นแบบว่ามันจะต้อง 10 ล้านวิว 20 ล้านวิว สไมล์รู้สึกว่าอยากให้พี่เจ พี่ปิ่น น้องเจ้านายแล้วก็ที่บ้านของเขา เขาเคยพูดกับสไมล์ครั้งนึงว่า เขาเห็นอะไรในตัวสไมล์มาก ๆ เขาไม่อยากให้สไมล์นั่งร้องเพลงอยู่หน้าโทรศัพท์ตลอดไป เขาอยากให้สไมล์ได้มีงานดี ๆ เมื่อวันนึงที่เขาลงทุนมาให้สไมล์ขนาดนี้ สไมล์ก็อยากให้เขาได้รับอะไรกลับไป อยากให้เขาได้ภูมิใจในผลงานของเรา ไม่อยากให้เขาคิดว่าผิดคนค่ะ อันนี้ก็คงเป็นความคาดหวังของสไมล์
TTM VARIETY: อีก 5 ปีคิดว่าตัวเองจะอยู่ในจุดไหน อยากจะทำอะไรคะ
Smile: จริง ๆ สไมล์อยากจะร้องเพลง อยากทำงานที่เกี่ยวกับการสื่อสารตลอดชีวิต คือเรามองว่าอันนี้มันหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราค่ะ แล้วเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถให้อะไรกับคนได้มากกว่าความเอ็นจอยอีกแล้ว หนูไม่รู้ว่าแต่ละคนมีขีดจำกัดในชีวิตยังไง แต่สำหรับสไมล์รู้สึกว่าการเล่นกีตาร์ การแสดง การเขียน เรารู้สึกว่าเราได้โต้ตอบกับคนที่สุดแล้ว และเราก็มองว่าใน 5 ปีต่อไป เราก็คงทำตรงนี้ สมมติถ้าสไมล์ไม่ได้อยู่ในวงการแล้ว สไมล์ก็คงมาเปิดร้านหนังสือค่ะ แต่ว่าในเรื่องของความมั่นคงของชีวิต สไมล์ก็มีในเรื่องของธุรกิจส่วนตัวที่สไมล์ทำหรือว่ามีงานหลักที่ไม่ได้ทำด้วยจิตวิญญาณแต่ทำด้วยความคิด อันนี้ก็คือแยกไปเลยเรื่องของปากท้อง ปัจจัย 4 อันนี้คือเรื่องจิตวิญญาณในชีวิตค่ะ
TTM VARIETY: ถามถึงเรื่องลดน้ำหนักกันหน่อย สไมล์มีเคล็ดลับอะไรในการลด ช่วยบอกสาว ๆ ได้ไหม
Smile: เรารู้ว่าเราดีได้กว่านี้แค่นั้นเลย เรารู้สึกว่าเราเคยมานั่งตรงนี้แล้วเคยมีคนมากรี๊ดกร๊าดเรา อย่างเช่นเรียกว่าเพศตรงข้ามแล้วกันนะคะ เขาก็จะรู้สึกว่านี่น้องสไมล์ แต่เมื่อวันนึงผ่านไปเราอ้วน เรา 58 โล เรามานั่ง ตัวอะไรอ่ะ ท้องหรือเปล่า หนูคิดในใจว่าโอ้มายก็อด ข้างในเราเหมือนเดิม รอยยิ้มเราเหมือนเดิม เราแค่มีแก้มขึ้นมาเยอะมากกว่าเดิม เราดูไม่น่ารักเลยเหรอ แปลกเนอะ เราก็เลยรู้สึกว่าโอเค วันนี้ที่เรากินเพราะเรามีความสุขมากแล้วเราก็ค่อนข้างหิวเราก็เลยกินเยอะ (หัวเราะ) แล้วมันเป็นช่วงที่สไมล์เก็บร้านอาหารอร่อยได้เยอะที่สุดใช่ไหมคะ เราไปบอกใครเขาก็ชอบ ร้านอาหารที่เรากินมันเป็นเพราะความอ้วนที่เราได้รับมา แล้ววันนึงเรารู้สึกว่าเราจะไม่กินเยอะแล้ว เราก็ตั้งใจเลย เราจะผอมแล้วเราก็ลดน้ำหนักเลยค่ะ แล้วก็ลดได้ มันก็ทำให้เห็นสัจธรรมชีวิตจริง ๆ ว่าสุดท้ายก็กลับมาน้องสไมล์ ๆ หนูแบบฉันอ้วนทำไมไม่พูดกับฉันแบบนี้ ก็เลยทำให้เราลดเพราะเรารู้ว่าเราทำได้ เราดีได้กว่านี้ เราแค่เผลอ จริง ๆ อาหารในโลกนี้มันอร่อย ก็เลยทำให้เราอ้วน (หัวเราะ)
TTM VARIETY: การเป็นศิลปินหรือว่าการอยู่ในวงการนี้ สไมล์คิดว่าภาพลักษณ์สำคัญขนาดไหน
Smile: จริง ๆ สไมล์เป็นคนค้านกับเรื่องนี้มากเลยนะว่าภาพลักษณ์สำคัญแค่ไหน สไมล์รู้สึกว่าทำไมเราไม่เป็นตัวของตัวเองไปเลย แต่บางครั้งตัวของเรา เหมือนสไมล์เป็นคนที่แบบตลก อาจจะตีลังกาอยู่ในห้อง เราก็คงไม่ต้องเอาตัวเองตรงนั้นออกมา (หัวเราะ) ภาพลักษณ์สไมล์ไม่ได้มองว่ามันสำคัญขนาดนั้นค่ะ แต่สไมล์เชื่อว่าเราอยู่ในที่ที่มีสปอร์ตไลท์ มันเป็นที่ที่คนจะทำตามได้ การที่เราประพฤติตัวเท่าที่เราจะควบคุมได้มันก็เป็นสิ่งที่ดีค่ะ
TTM VARIETY: สุดท้ายฝากถึงแฟนคลับ เพลงใหม่ล่าสุด แล้วก็บทบาทใหม่ของสไมล์ในการเป็นศิลปินหญิงคนเดียวของค่ายเจมีดีตอนนี้
Smile: ฝากด้วยค่ะ รอคอยมานานมาก ที่จะมีงานดี ๆ อย่างนี้ ก็ฝากสนับสนุนตัวสไมล์ด้วยค่ะ สไมล์เชื่อว่าทุกกระบวนการทุกขั้นตอน เราตั้งใจค่ะ ทั้งพี่มด 3G ที่แต่งเพลงออกมา พี่ Bossa ที่ช่วยทำเพลง พี่เจที่ควบคุมทั้งหมด พี่ผู้จัดการที่จัดการนู่นนี่นั่นให้ พี่เจี๊ยบ หรือว่าทุก ๆ คนที่ช่วยในงานนี้ สไมล์อยากให้มันได้รับผลตอบรับกลับมาที่ดีค่ะ ฝากซัพพอร์ตด้วยค่ะ คัมแบ็คค่ะ ช่วยด้วยค่ะ (หัวเราะ)